วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เจ้าเพนกวินจะครองเอเชีย

รัชสิรินทร์ เจริญพิทยากลาย
ที่มา: บิสิเนส วีค

นักวิเคราะห์เผย เทรนด์ลินิกซ์อาจเบียดไมโครซอฟท์ครองตลาดเอเชีย หลังยักษ์ใหญ่ จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น ประกาศ จับมือพัฒนาโอเอสเอเชียสำหรับอุปกรณ์ยุคหน้า ชี้ต้นเหตุปัจจัยด้านราคาวินโดว์ส และมาตรการกวาดล้างซอฟต์แวร์เถื่อน

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา 3 ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย อันได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ได้ประกาศโครงการร่วมมือกันพัฒนา "ลินิกซ์" โดยมีจุดประสงค์ เพื่อหาระบบปฏิบัติการตัวใหม่ มาใช้แทนโปรแกรมวินโดว์สราคามหาโหดของไมโครซอฟท์

ปัจจุบันการหัน ไปใช้โปรแกรม ตัวอื่น นอกจากวินโดว์สของไมโครซอฟท์ในทวีปเอเชีย กำลังเป็น กระแสที่รุนแรง มากขึ้นทุกขณะ รัฐบาลประเทศต่างๆ นับตั้งแต่ญี่ปุ่นยันอินเดีย เริ่มให้ความสนใจ ในระบบปฏิบัติ การโอเพ่นซอร์ส อย่าง ลินิกซ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า...ต้องการลดค่าใช้จ่าย และเกาะติดวงจรเทคโนโลยีรูปแบบใหม่

แม้ว่าไมโครซอฟท์เอง จะไม่ได้แสดงความกังวลอย่างออกหน้าออกตา แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า หนึ่ง ในนโยบายหลัก ตัวของเจ้า ตลาดซอฟต์แวร์ในขณะนี้ ก็คือการหาทางยับยั้ง หรือแม้แต่ชะลอกระแสความนิยมในโอเพ่นซอร์ส

หวังสร้างซอฟต์แวร์แห่งเอเชีย

โครงการพัฒนา ลินิกซ์แห่งเอเชียครั้งนี้ ริเริ่มขึ้นโดยนายทาเคโอะ ฮิรานูมะ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของญี่ปุ่น โดยออกมา เสนอแนะ ให้เพื่อนบ้าน ยักษ์ใหญ่ อีก 2 ราย ร่วมมือในโครงการวิจัยและพัฒนาระบบงานลินิกซ์ เพื่อนำมาใช้ในการผลิตมือถือ กล้องถ่ายภาพนิ่งดิจิทัล และอุปกรณ์ สำหรับยุคหน้าชนิดอื่นๆ

สำหรับญี่ปุ่นและเกาหลีแล้ว การสร้างความร่วมมือกับประเทศจีนย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจีนมีฐานะเป็นผู้ผลิตมือถือที่ใหญ่ที่สุดของโลกในขณะนี้ และกำลังมีอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดอุปกรณ์ไฮเทคอื่นๆ อีกด้วย ในด้านของรัฐบาลจีนเอง ก็มีความสนใจในลินิกซ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ เป็นโปรแกรมที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีความปลอดภัยสูงกว่าซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ทั้งหลายนั่นเอง และหากจะมีกลวิธีใด ช่วยให้ยักษ์ใหญ่ ของเอเชียรายนี้ สามารถพัฒนาระบบดังกล่าวขึ้นมาได้ ประโยชน์มหาศาลก็น่าจะตกเป็นของญี่ปุ่นและเกาหลีอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่อุปสรรคสำคัญที่มีอยู่ในขณะนี้ก็คือ ปัญหาทางการเมือง ในทางปฏิบัติแล้ว ข้อตกลงความร่วมมือ 3 ฝ่ายค่อนข้างเป็นไปได้ยาก และแต่ละประเทศก็ยัง คงต้องตรวจสอบรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก รวมทั้งอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อประเทศ ทั้งสามมีความหลังทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่ค่อยดีต่อกันนัก เห็นได้จากประชาชนเกาหลีจำนวนมากยังคงเกลียดชังชาวญี่ปุ่นอย่างฝังรากลึก หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ายึดเกาหลีใต้เป็นอาณานิคม เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเกลียดชังของชาวจีนที่มีต่อประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยรุกรานตนในอดีต

ชี้กระแสต้านวินโดว์ส

แม้ว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์น้องใหม่ของจีน เช่น ทีซีแอล เบิร์ด และเลเจนด์ จะยังไม่มีบารมีเทียบเท่า บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มัตสึชิตะ และซัมซุง ในขณะนี้ แต่จีนก็เริ่มที่จะมีบทบาทในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และความขัดแย้งทางผลประโยชน์ก็อาจทำให้โครงการนี้ต้องพับไปในที่สุด

ไม่ว่าโครงการนี้จะลงเอยอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ มีสัญญาณหลายอย่างเกิดขึ้น ที่ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ของโปรแกรมวินโดว์ส ในทวีปเอเชีย กำลังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง

ประการแรกก็คือ หน่วยงานรัฐบาลทั่วประเทศจีน กำลังเริ่มมองหาระบบปฏิบัติการตัวใหม่มาใช้แทนที่วินโดว์ส ขณะที่เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ลินิกซ์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน "เรด แฟลก ลินิกซ์" ประกาศว่า ตนกำลังร่วมมือกับฮิวเลตต์-แพคการ์ด เพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในจีนและทั่วโลก

ส่วนผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ได้แก่ โซนี่ มัตสึชิตะ และซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ก็ประกาศว่าตนกำลังตั้งสมาคมลินิกซ์ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ "ซีอี ลินิกซ์ ฟอรัม" เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้ลินิกซ์เช่นกัน ขณะที่บริษัทชาวอินเดียหลายแห่ง รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาล ก็เริ่มนำลินิกซ์มาใช้แล้วในงานหลายประเภท

เผยต้นตอซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์

นอกจากนี้ ไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในเดือนที่แล้ว ก็มีส่วนทำให้ลินิกซ์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในเอเชีย เนื่องจากไวรัสส่วนใหญ่จะมุ่งโจมตีวินโดว์สเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ลินิกซ์ ก็เป็นเพราะตัวไมโครซอฟท์ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่ายักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์แห่งนี้ได้ดำเนินมาตรการอย่างหนัก ในการรณรงค์ให้ชาวเอเชียหันมาใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ที่ถูกกฎหมาย แทนซอฟต์แวร์ก๊อบปี้ หรือซอฟต์แวร์เถื่อน

ขณะที่พฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจกำจัดให้หมดไปจากเอเชียได้ โดยเฉพาะในจีน ซึ่งสมาคมซอฟต์แวร์ธุรกิจได้ประเมินไว้ว่า มีสัดส่วนของการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดถึง 90% จากสถิติเมื่อปี 2544 และแม้ว่าสถานการณ์ในอินเดียจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังจัดเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา โดย 3 ใน 4 ของซอฟต์แวร์ที่ใช้ทั่วประเทศเป็นสินค้าปลอมแปลง

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สมาคมซอฟต์แวร์ธุรกิจ ซึ่งมีไมโครซอฟท์เป็นหนึ่งในสมาชิกหลัก ได้ตัดสินใจใช้กลยุทธ์จับมือกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ เพื่อหว่านล้อมให้ใช้เฉพาะซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ซึ่งได้ผลในเมืองใหญ่ๆ บางแห่งเท่านั้น เช่นเซี่ยงไฮ้

ดึงลินิกซ์สู้ปัญหาราคา

อย่างไรก็ตาม จีนก็ยังคงมีการจำหน่ายซอฟต์แวร์เถื่อนอย่างล้นหลาม เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีราคาถูกกว่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์มาก และแม้ว่าจะได้รับ การขนานนามว่าเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่จีนก็ยังคงเป็นระบบเศรษฐกิจที่เพิ่งเกิดใหม่ และประชากรส่วนใหญ่ก็มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ (43,000 บาท) ต่อปี

ข้อเท็จจริงดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ซอฟต์แวร์วินโดว์สของจริงนั้นมีราคาแพงเกินไป และถ้าประเทศเหล่านี้ไม่สามารถใช้เวอร์ชั่นเทียม ซึ่งมีราคาถูกกว่ามากได้ รัฐบาลก็จะมีแรงจูงใจให้หันไปพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเอง เช่น ระบบปฏิบัติการลินิกซ์ อย่างไม่ต้องสงสัย

ไมโครซอฟท์เองก็มิได้เพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงของยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ ได้เดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ และในเดือนนี้ ทางบริษัทก็ได้ตั้งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการประจำประเทศจีนคนใหม่ นายทิม เฉิน ผู้ซึ่งทำงานให้กับบริษัทโมโตโรล่าในจีน

เฉินมีประสบการณ์ในการติดต่อกับบริษัทท้องถิ่นมาเป็นเวลานาน เนื่องจากโมโตโรล่า ซึ่งเคยเป็นเจ้าอุตสาหกรรมมือถือ ก็ต้องเผชิญปัญหาจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ผู้ผลิตชาวจีนมาก่อนเช่นกัน และเชื่อว่าประสบการณ์ดังกล่าว คงปรับใช้ได้ดีเป็นอย่างยิ่งกับสถานการณ์ของวินโดว์สในเอเชียขณะนี้

ไวรัสคอมพิวเตอร์กับกฎหมายไทย(3)

ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ
บริษัท ที่ปรึกษากฎหมายสากล จำกัด


อาทิตย์ที่แล้วผมได้รับอีเมลจากคุณณรงค์ ซึ่งเป็นแฟนคอลัมน์ไอทีลอว์ ให้ช่วยให้ข้อแนะนำทางกฎหมายเกี่ยวกับปัญหาการที่แฮคเกอร์ส่งอีเมลบอมบ์ (E-mail Bombs) หรือโปรแกรมไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาทำลายระบบรักษาความปลอดภัย หรือระบบไฟร์วอลล์ (Fire Wall) ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไม่สามารถทำงานได้

หลังจากนั้นแฮคเกอร์ก็จะเจาะระบบคอมพิวเตอร์เพื่อนำเอาฐานข้อมูลธุรกิจของบริษัทหรือฐานข้อมูลของลูกค้าของบริษัทไปใช้หรือเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เหมือนกรณีที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อแสดงว่าตนเองเป็นแฮคเกอร์ที่มีความสามารถ จากกรณีดังกล่าวกฎหมายไทยในปัจจุบันสามารถดำเนินการทางอาญากับบุคคลดังกล่าวได้หรือไม่อย่างไร วันนี้ผมจะมาตอบคำถามดังกล่าวกันครับ

ผมขอแยกการกระทำความผิดออกเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนแรกตามที่ได้กล่าวไปในครั้งที่แล้วว่า การที่แฮคเกอร์ส่งอีเมลบอมบ์ หรือโปรแกรม ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัท เอ. บริษัท เอ. ผู้เสียหายอาจดำเนินคดีกับแฮคเกอร์ ก. ในความผิดฐาน จงใจ ปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์หรืออีเมลบอมบ์ โดยมีเจตนาทำให้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นทรัพย์สิน ของบริษัท เอ. เสียหายอันเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ได้ครับ

นอกจากนี้ ภายหลังจากที่แฮคเกอร์ ก. ได้เข้ามาทำลายระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวแล้วแฮคเกอร์ ก. ได้เจาะรหัสเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัท เอ. และนำเอาฐานข้อมูลของบริษัท เอ. ดังกล่าวออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน บริษัท เอ. อาจดำเนินคดีอาญากับนาย ก. ในความผิดฐานเปิดเผยซึ่งความลับ ทางการค้าของผู้อื่นได้ หากฐานข้อมูลของลูกค้าที่แฮคเกอร์นำมาเปิดเผยเป็นฐานข้อมูลทางธุรกิจที่ไม่ได้รู้จักโดยทั่วไป และเป็นข้อมูลในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีคุณค่าที่เกิดจากการรวบรวม จัดสรร คัดเลือก จัดลำดับ จนข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้อมูลเฉพาะ ที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถล่วงรู้ถึงข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัท เอ. ได้ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานรักษาฐานข้อมูลดังกล่าว ฐานข้อมูลทางการค้าหรือฐานข้อมูลของบริษัท เอ. อาจถือเป็นความลับทางการค้าตามมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 ซึ่งได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย

การที่แฮคเกอร์ ก. เจาะรหัส และนำเอาฐานข้อมูลลูกค้าที่เป็นความลับมาเปิดเผยโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้บริษัท เอ. ได้รับความเสียหายโดยการเปิดเผย ดังกล่าวของแฮคเกอร์ ก. ทำให้ฐานข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้าเป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไป แก่สาธารณชนจนสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้าถือเป็น ความผิดตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2535 อันมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้

"ความลับทางการค้า" หมายความว่า ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือยังเข้าไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดยปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว โดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากการเป็นความลับ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับ ทางการค้าได้ใช้มาตรการ ที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ


มาตรา 33 "ผู้ใดเปิดเผยความลับ ทางการค้าของผู้อื่น ให้เป็นที่ล่วงรู้ โดยทั่วไปในประการ ที่ทำให้ความลับ ทางการค้านั้นสิ้นสภาพ การเป็น ความลับทางการค้า โดยเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ควบคุม ความลับทางการค้าได้รับความเสียหายในการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะกระทำ โดยการโฆษณาด้วยเอกสารการกระจายเสียง หรือ การแพร่ภาพ หรือการเปิดเผยด้วยวิธีอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

ดังนั้น การที่แฮคเกอร์ ก. ใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์หรืออีเมลบอมบ์ เพื่อทำลายระบบคอมพิวเตอร์ และเจาะรหัสหรือแฮคเกอร์ระบบคอมพิวเตอร์ ของบริษัทอื่นจึงเป็น ความผิดตามกฎหมายไทยครับ ซึ่งผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีอาญาได้ ผมคิดว่า คุณณรงค์ซึ่งเป็นเจ้าของคำถามนี้คงได้คำแนะนำ ทางกฎหมายที่เกี่ยวกับ เรื่องดังกล่าวพอสมควร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การปรับใช้กฎหมายอาญากับการกระทำ ความผิดของแฮคเกอร์แต่ละรายจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไปเพื่อปรับใช้กฎหมายแต่ละฉบับครับ

ในครั้งหน้า เราจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ในส่วนมาตรการทางแพ่งในการเรียกร้องค่าเสียหาย อย่าลืมติดตามนะครับ